หน่วยการเรียนรู้ที่
1
เรื่อง สารชีวโมเลกุล
*****************************************************************************
1. ไขมันและน้ำมัน (Fat and
Oil)
ไขมันและน้ำมันเป็นเอสเทอร์ชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ จัดว่าเป็นสารอินทรีย์ประเภทเดียวกับไข (Wax) รวมเรียกว่า ไลปิด (Lipid)
ไลปิด
เป็นเอสเทอร์ที่โมเลกุลมีขนาดใหญ่ไม่มีขั้วจึงไม่ละลายน้ำ แต่ละลายได้ในตัวทำละลายไม่มีขั้ว คือตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น
คลอโรฟอร์ม อีเทอร์ โพรพาโนน
เบนซีน เป็นต้น
ไลปิดซึ่งแบ่งเป็นไขมันและน้ำมันนั้นอาศัยสถานะเป็นเกณฑ์ ไขมันจะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ในขณะที่น้ำมันจะเป็นของเหลว ทั้งไขมันและน้ำมันมีโครงสร้างอย่างเดียวกัน คือ
เป็นเอสเทอร์ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอล กับกรดไขมัน
กลีเซอรอล (glycerol
) เป็นสารประเภทแอลกอฮอล์
กรดไขมัน (fatty acid) เป็นสารประเภทกรดอินทรีย์
เอสเทอร์ที่เป็นไขมัน และน้ำมัน เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่ากลีเซอไรด์ (glyceride) หรือ กลีเซอริล เอสเทอร์ (glyceryl
ester)
ปฏิกิริยาการเตรียมไขมันและน้ำมันเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image002.gif)
หมู่อัลคิล ( R ) ทั้ง 3 หมู่ ในไขมันหรือน้ำมัน อาจจะเป็นชนิดเดียวกัน
หรือต่างกันก็ได้
อาจจะเป็นสารประเภทอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัวก็ได้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image004.gif)
ไขมันและน้ำมันพบได้ทั้งในพืชและสัตว์ โดยในพืชส่วนใหญ่จะพบอยู่ในเมล็ดและในผล เช่น
มะพร้าว ถั่วลิสง ถั่วเหลือง
มะกอก ปาล์ม เมล็ดฝ้าย
และเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ในสัตว์จะพบในไขมันสัตว์ ซึ่งสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน เช่น
ไขมันวัว หมู แกะ เป็นต้น
ไขมันและน้ำมันมีหน้าที่สำคัญคือ
เป็นโครงสร้างที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์
และเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ
โดยที่การเผาผลาญน้ำมัน หรือไขมันอย่างสมบูรณ์จะทำให้เกิดพลังงานประมาณ 37.7 kJ /g เปรียบเทียบกับคาร์โบไฮเดรต
ซึ่งให้พลังงานประมาณ 16.7
kJ/g และโปรตีนซึ่งให้พลังงาน 17.6 kJ/g จะเห็นได้ว่าไขมันให้พลังงานมากกว่า
1.1.กรดไขมัน (fatty
acid)
กรดไขมันเป็นส่วนสำคัญที่มีบทบาทต่อสมบัติของไขมันและน้ำมันมาก กรดไขมันเป็นกรดอินทรีย์ดังนั้นจึงมีหมู่ - COOH
เขียนสูตรทั่วไปเป็น
R - COOH เหมือนกรดอินทรีย์
ลักษณะโมเลกุลของไขมันส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอน (-R) มักมีคาร์บอนต่อกันเป็นสายตรงค่อนข้างยาว อาจจะเป็นประเภทอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัว (มีพันธะคู่) ก็ได้
จึงสามารถแบ่งกรดไขมันได้เป็น 2 ประเภท คือ
- กรดไขมันอิ่มตัว ในโมเลกุลประกอบไปด้วยพันธะเดี่ยวทั้งหมด และ
- กรดไขมันไม่อิ่มตัว มีพันธะคู่
และพันธะสามในโมเลกุล
ส่วนใหญ่จำนวนคาร์บอนในกรดไขมันจะเป็นเลขคู่
การเตรียมกรดไขมัน
มักจะอาศัยปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสไขมันและน้ำมัน ถ้าไขมันหรือน้ำมันมีองค์ประกอบของกรดไขมันหลายชนิด
เมื่อไฮโดรไลส์จะได้กรดไขมันหลายชนิดต่างกัน
ไขมันและน้ำมันที่พบในธรรมชาติเป็นเอสเทอร์ของกรดไขมันหลายชนิด เช่น
กรดไมริสติก (Myristic
acid) , กรดปาล์มิติก (Palmitic
acid) ,
กรดสเตียริก (Stearic acid) และกรดโเลอิก (Oleic
acid) เป็นต้น
เมื่อนำไขมันหรือน้ำมันจากพืชและสัตว์บางชนิดมาวิเคราะห์จะพบว่าประกอบด้วยกรดไขมันที่มีปริมาณต่าง
ๆ กันดังนี้
ตารางที่ 1.1 ปริมาณของกรดไขมันที่มีอยู่ในไขมันและน้ำมันบางชนิด
ชนิดของน้ำมัน
|
% ของกรดไขมันชนิดต่าง
ๆ
|
||||
หรือไขมัน
|
กรดไมริสติก
|
กรดปาล์มิติก
|
กรดสเตียริก
|
กรดโอเลอิก
|
กรดไลโนเลอิก
|
ไขมันสัตว์
เนย
น้ำมันหมู
ไขมันวัว
น้ำมันพืช
น้ำมันมะกอก
น้ำมันข้าวโพด
น้ำมันถั่วเหลือง
|
8
- 15
0.1
- 1
2 -
5
0
- 1
1
- 2
1
- 2
|
25 - 29
25 - 30
24 - 34
5 - 15
7 - 11
6 - 10
|
9 - 12
12 - 18
15 - 30
1 - 4
3 - 4
2 - 4
|
18 - 33
48 - 60
35 - 45
67 - 84
25 - 35
20 - 30
|
2 - 4
6 - 12
1 - 3
8 - 12
50 - 60
50 - 58
|
กรดไขมันในพืชและในสัตว์ชั้นสูงส่วนใหญ่จะไม่อยู่ในรูปของกรดไขมันอิสระ แต่จะอยู่ในโครงสร้างของไขมัน และน้ำมัน และในเนื้อเยื่อ
และพบว่าส่วนใหญ่จะมีจำนวนคาร์บอนเป็นเลขคู่ ที่พบมากคือ
16 และ 18
อะตอม ทั้งกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวจะมีจุดหลอมเหลวเพิ่มขึ้น เมื่อขนาดของโมเลกุลใหญ่ขึ้น หรือเมื่อจำนวนคาร์บอนเพิ่มขึ้น และยังพบอีกว่าเมื่อมีจำนวนคาร์บอนเท่ากัน กรดไขมันอิ่มตัวจะมีจุดหลอมเหลวสูงกว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัว
ตารางที่ 1.2
จุดหลอมเหลวของกรดไขมันบางชนิด
ก. กรดไขมันอิ่มตัว
|
จุดหลอมเหลว
|
แหล่งที่พบ
|
|
ชื่อกรด
|
สูตรโครงสร้าง
|
(0C)
|
|
butyric acid
lauric
acid
myristic acid
palmatic
acid
stearic acid
arachidic acid
|
CH3(CH2)2COOH
CH3(CH2)10COOH
CH3(CH2)12COOH
CH3(CH2)14COOH
CH3(CH2)16COOH
CH3(CH2)18COOH
|
-7.9
44.2
53.9
63.1
69.6
76.5
|
เนย
น้ำมันมะพร้าว
,ปาล์ม
ลูกจันทร์เทศ
น้ำมันปาล์ม
น้ำมันสัตว์
น้ำมันสัตว์
น้ำมันถั่วเหลือง
|
ข.
กรดไขมันไม่อิ่มตัว
|
|||
palmitoleic
acid
oleic acid
linoleic
acid
linolenic acid
arachidonic
acid
|
CH3(CH2)5CH=CH(CH2)7COOH
CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COOH
CH3(CH2)4(CH=CHCH2)2(CH2)6COOH
CH3CH2(CH=CHCH2)3(CH2)6COOH
CH3(CH2)4(CH=CHCH2)4(CH2)2COOH
|
-0.5
13.4
-5
-11
149.5
|
ไขมันพืชและสัตว์
น้ำมันมะกอก,ไขมันสัตว์น้ำมันลินสีดน้ำมันถั่วเหลือง
น้ำมันลินสีด
ไขมันสัตว์
|
จากโครงสร้างของกรดไขมันยังพบอีกว่าน้ำมันพืชหรือไขมันที่มีองค์ประกอบเป็นกรดไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่ ที่อุณหภูมิห้องจะเป็นของแข็ง แต่พวกที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่
ที่อุณหภูมิห้องจะเป็นของเหลว
1.2 สมบัติและปฏิกิริยาบางประการของไขมันและน้ำมัน
ไขมันและน้ำมันชนิดต่าง
ๆ จะมีกรดไขมันเป็นองค์ประกอบไม่เหมือนกัน
ทำให้มีสมบัติบางประการแตกต่างกัน
โดยทั่ว ๆ
ไปไขมันและน้ำมันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจะเป็นของผสมเอสเทอร์ที่เกิดจากกลีเซอรอลและกรดไขมันหลายชนิด เช่มเมื่อนำเนยไปต้มกับเบส NaOH
แล้วนำผลิตภัณฑ์ที่ได้มาทำให้มีสมบัติเป็นกรด จะได้กรดไขมันชนิดต่าง ๆ ถึง 15
ชนิด
ในน้ำมันพืชส่วนใหญ่จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว มีพันธะคู่อยู่ในโมเลกุล ถ้าให้เกิดปฏิกิริยารวมตัวกับ H2 จะกลายเป็นสารประกอบอิ่มตัวและเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง ซึ่งใช้เป็นหลักในการผลิตมาร์การีน (Margarine)
หรือเนยเทียม
ส่วนไขมันวัวมักจะเป็นเอสเทอร์ของกรดไขมันอิ่มตัว
โมเลกุลของไขมันและน้ำมัน
มีทั้งส่วนที่มีขั้ว และส่วนมี่ไม่มีขั้ว
แต่ส่วนที่ไม่มีขั้วซึ่งก็คือส่วนของหมู่อัลคิล ซึ่งมีปริมาณมากกว่า
ดังนั้นจึงถือว่าไขมันและน้ำมันเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว ทำให้ไม่ละลายน้ำ แต่สามารถละลายได้ดีในตัวทำละลายที่ไม่มีขั้ว เช่น
เฮกเซน อีเทอร์ เป็นต้น
และละลายได้น้อยในเอทานอล
การเกิดกลิ่นหืนของไขมันและน้ำมัน
เมื่อเก็บไขมันหรือน้ำมัน
หรือกลีเซอรอลไว้นาน ๆ
มักจะมีกลิ่นเหม็นหืนเกิดขึ้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นมี 2 ประการคือ ไขมันและน้ำมัน
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
- การเกิดกลิ่นเหม็นหืนเนื่องจากปฏิกิริยาออกซิเดชันนั้น
จะเกิดปฏิกิริยาระหว่างไขมันหรือน้ำมันกับออกซิเจนในอากาศ
โดยออกซิเจนจะเข้าทำปฏิกิริยาตรงตำแหน่งพันธะคู่ในกรดไขมัน ได้เป็นแอลดีไฮด์
และกรดไขมันที่มีขนาดเล็กลง สารเหล่านี้ระเหยง่ายและมีกลิ่น
ปฏิกิริยานี้จะเกิดได้ดีเมื่อมีความร้อนและแสงเข้าช่วย
- การเกิดกลิ่นเหม็นหืนเนื่องจากปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของไขมัน เกิดจากจุลินทรีย์ในอากาศ
โดยเอมไซม์ที่เชื้อจุลินทรีย์ปล่อยออกมาจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
ทำให้เกิดกรดไขมันอิสระซึ่งมีกลิ่นเหม็น
เมื่อนำกลีเซอรอลมาเผาที่อุณหภูมิ 450 0C
หรือสูงกว่า
หรือให้ทำปฏิกิริยากับสารดูดความชื้น (dehydrating agent)
เช่น KHSO4 , P2O5 จะได้ acrolein ซึ่งเป็นอัลดีไฮด์ชนิดหนึ่ง
และมีกลิ่นเหม็นแสบจมูก
คล้ายกับกลิ่นของน้ำมันพืชติดไฟ
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image006.gif)
ดังนั้นเมื่อไขมันเกิดไฮโดรลิซิสจะได้กลีเซลรอลซึ่งสามารถเปลี่ยนต่อไปเป็น
acrolein ที่มีกลิ่นหืนได้
ไขมันในสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็นไขมันประเภทอิ่มตัว แต่มักจะเหม็นหืนได้ง่ายกว่าน้ำมันพืช
การที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากน้ำมันพืชมีสารช่วยป้องกันการเหม็นหืนตามธรรมชาติ
ซึ่งก็คือ วิตามินอี
ซึ่งเป็นสารต่อต้านการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนที่พันธะคู่
การสะสมไขมันในร่างกาย
เมื่อรับประทานอาหารประเภทไขมันและน้ำมันเข้าไป น้ำดีซึ่งเป็นอิมัลซิฟายเออร์ จะทำให้ไขมันและน้ำมันกลายเป็นอีมัลชั่น หลังจากนั้นจะถูกเอนไซม์เร่งให้เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสกลายเป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าไปที่ส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด
จะถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นไขมันใหม่สะสมเป็นเนื้อเยื่อไขมันอยู่ในร่างกาย
ซึ่งทำให้อ้วน
นอกจากนี้ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจจะได้จากอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมันได้
ปฏิกิริยาสะปอนนิฟิเคชัน
(saponification) ของไขมัน
เนื่องจากไขมันและน้ำมันเป็นเอสเทอร์
ดังนั้นจึงเกิดปฏิกิริยาเคมีในทำนองเดียวกับเอสเทอร์ คือ
เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
ซึ่งจะได้ผลิตภัณฑ์เป็นกลีเซอรอลและกรดไขมัน ในกรณีที่เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสในสารละลายเบส
(NaOH) จะเรียกว่า
ปฏิกิริยาสะปอนนิฟิเคชัน ได้ผลิตภัณฑ์เป็นกลีเซอรอล และเกลือโซเดียมของกรดไขมัน ซึ่งเรียกว่า สบู่
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image008.gif)
ตัวอย่างเช่น
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image010.gif)
กรณีสบู่จากน้ำมันมะกอกก็เช่นเดียวกัน น้ำมันมะกอกไม่ละลายน้ำ เมื่อนำมาต้มรวมกับ NaOH และหลังจากปล่อยให้เย็นจะได้ของแข็งที่เป็นสารใหม่สามารถเกิดฟองกับน้ำได้
ซึ่งก็คือสบู่นั่นเอง สำหรับน้ำมันมะกอก เป็นเอสเทอร์ที่มีกรดโอเลอิก
เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่
สบู่ที่ได้จึงเป็นเกลือโซเดียมของกรดโอเลอิก
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image012.gif)
การผลิตสบู่ในอุตสาหกรรมทำได้โดยใช้ไขมันผสมกับสารละลาย
NaOH แล้วทำให้ร้อนโดยผ่านด้วยไอน้ำเป็นเวลา 12 - 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงเติมเกลือ NaCl
ลงไปในสารละลายเพื่อแยกสบู่ออกมาและทำให้บริสุทธิ์
แล้วจึงเติมสีและกลิ่นทำเป็นก้อนเพื่อจำหน่ายต่อไป
ตารางที่ 1.3
ตัวอย่างของสบู่บางชนิด
สูตรโมเลกุล
|
ชื่อ
|
C17H35COONa
C17H33COONa
C15H31COONa
C17H35COOK
|
sodium stearate
sodium
oleate
sodium
palmitate
potassium
stearate
|
การกำจัดสิ่งสกปรกด้วยสบู่
สิ่งสกปรกต่าง ๆ
สามารถเกาะติดกับเสื้อผ้าและผิวหนังได้ก็เพราะสิ่งสกปรกเหล่านี้เกาะติดอยู่กับไขมัน
ดังนั้นถ้าสามารถละลายไขมันแยกออกไปจากเสื้อผ้าหรือผิวหนัง
สิ่งสกปรกก็จะหลุดออกไปด้วยเป็นการทำความสะอาดเสื้อผ้าและผิวหนัง
แต่เนื่องจากไขมันเป็นโมเลกุลที่ไม่ละลายน้ำ
ถ้าใช้น้ำล้างอย่างเดียวสิ่งที่ติดอยู่กับไขมันก็จะไม่หลุดออกไป ถ้าใช้สบู่จะช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย เนื่องจากโมเลกุลของสบู่ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
ส่วนที่ไม่มีขั้ว (ส่วนที่เป็นสายยาวของไฮโดรคาร์บอน)
และส่วนที่มีขั้ว (ปลายด้าน -COO-
Na+ )
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image014.gif)
รูปที่ 1.1
โครงสร้างของสบู่โซเดียมสเตียเรต
ส่วนไม่มีขั้วของสบู่จะละลายในไขมันซึ่งไม่มีขั้วได้
และส่วนที่มีขั้วจะละลายในน้ำซึ่งมีขั้วได้ ดังนั้นสบู่จึงสามารถละลายได้ทั้งไขมันและน้ำ
เมื่อสบู่ละลายน้ำจะแตกตัวออกเป็นโซเดียมและคาร์บอกซิเลตไอออน
R - COONa
R - COO- + Na+
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image016.gif)
โซเดียมไอออนจะถูกล้อมรอบด้วยน้ำ
ในขณะที่ส่วนที่เหลือของสบู่ซึ่งมีประจุลบจะเข้ามาจับกันเป็นกลุ่มโดยหันปลายด้านขั้วลบไปยังโมเลกุลของน้ำที่อยู่ล้อมรอบ
และหันปลายด้านที่เป็นไฮโดรคาร์บอนมารวมกันตรงกลางด้านใน เรียกว่ากลุ่มสบู่
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image018.jpg)
รูปที่ 1.2
การจัดตัวเป็นกลุ่มสบู่เมื่อสบู่ละลายน้ำ
การที่สบู่สามารถชะล้างสิ่งสกปรกที่มีไขมันและน้ำมันฉาบอยู่ได้
ก็เนื่องจากกลุ่มสบู่ในน้ำจะหันปลายส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอนซึ่งไม่มีขั้ว
เข้าไปยังส่วนของไขมันและน้ำมันซึ่งไม่มีขั้วเหมือนกัน และดึงน้ำมันออกมาเป็นหยดเล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยโมเลกุลสบู่ (ส่วนของคาร์บอกซีเลตจะละลายในน้ำ
) หยดน้ำมันแต่ละหยดที่ถูกดึงออกมาจึงมีประจุลบล้อมรอบและเกิดการผลักกัน จึงกระจายออกไปอยู่ในน้ำมีลักษณะเป็นอิมัลชั่น
หลุดออกไปจากผิวหน้าของสิ่งที่ต้องการทำความสะอาด
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image020.jpg)
รูปที่ 1.3 แผนภาพแสดงการกำจัดน้ำมันด้วยสบู่
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2. โปรตีน (Protein)
โปรตีนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต
นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย เช่นเดียวกับไขมันและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีส่วนที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต
โปรตีนเป็นสารอินทรีย์ที่พบมากที่สุดในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปเซลล์พืชและเซลล์สัตว์จะมีโปรตีนอยู่ไม่ต่ำกว่า 50%
ของน้ำหนักแห้ง
โปรตีนมีหลายชนิด แต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น เคซีนเป็นโปรตีนในน้ำนม มีธาตุฟอสฟอรัส
ซึ่งเป็นอาหารทีมีคุณค่ามากสำหรับเด็กและทารก
คอลลาเจนเป็นส่วนของเอ็น ซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหว และฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่าง
ๆ ของร่างกาย เป็นต้น
2.1 กรดอะมิโน (Amino acid)
จากการศึกษาพบว่าโปรตีนเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วยธาตุ C , H , O และ N
เป็นหลักและอาจจะมีธาตุอื่น ๆ เช่น Fe , S , Zn , Cu และ P
เป็นองค์ประกอบด้วย โปรตีนเป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนมากกว่าไขมันและคาร์โบไฮเดรต มีมวลโมเลกุลสูง มีจุดหลอมเหลวหรือจุดสลายตัวที่ไม่แน่นอน เมื่อถูกความร้อนจะแปรสภาพไปกลายเป็นของแข็งสีขาวทำให้หาจุดหลอมเหลวไม่ได้
โปรตีนมีหมู่ฟังก์ชั่นที่สำคัญ คือ หมู่คาร์บอกซิล (-COOH) และหมู่อะมิโน (- NH2) โดยที่หน่วยเล็กที่สุดของโปรตีนคือ
กรดอะมิโน (amino acid) กรดอะมิโนหลาย ๆ โมเลกุลจะรวมกันด้วยพันธะเปปไตต์ (peptide
bond) กลายเป็นโมเลกุลของโปรตีน
กรดอะมิโน หมายถึง สารอินทรีย์ที่มีหมู่คาร์บอนิล (-
COOH) และหมู่อะมิโน (-
NH2) รวมอยู่ในโมเลกุลเดียวกัน กรดอะมิโนส่วนใหญ่จะเป็น
- amino acid
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image022.gif)
เขียนสูตรทั่วไปของกรดอะมิโนได้ดังนี้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image024.gif)
R อาจจะเป็นไฮโดรเจน , หมู่อัลคิล ทั้งที่เป็นไฮโดรคาร์บอนแบบโซ่ตรงและโซ่กิ่ง ไฮโดรคาร์บอนที่เป็นวงแหวน หรือเป็นสารอินทรีย์ที่มีธาตุอื่น ๆ เช่น S
และ P อยู่ด้วยก็ได้ จำนวนหมู่
-COOH และ - NH2 ในกรดอะมิโนจะมีมากกว่า 1
หมู่ก็ได้
ตารางที่ 1.4 ตัวอย่างของกรดอะมิโนบางชนิด
ชื่อ
|
สูตรโครงสร้าง
|
ชื่อ
|
สูตรโครงสร้าง
|
Glycine
(gly)
|
![]() |
Theonine
(thr)
|
![]() |
Serine
(ser)
|
![]() |
Cysteine
(cys)
|
![]() |
Tyrosine
(tyr)
|
![]() |
Lysine
(lys)
|
![]() |
ชื่อ
|
สูตรโครงสร้าง
|
ชื่อ
|
สูตรโครงสร้าง
|
Asparagine
(asn)
|
![]() |
Asparatic acid
(asp)
|
![]() |
Glutamine
(gln)
|
![]() |
Glutamic acid
(glu)
|
![]() |
Arginine
(arg)
|
![]() |
Histidine
(his)
|
![]() |
Proline
(pro)
|
![]() |
Alanine
(ala)
|
![]() |
Methionine
(met)
|
![]() |
Valine
(val)
|
![]() |
Phenylanine
(phe)
|
![]() |
Leucine
(leu)
|
![]() |
Tryptophan
(trp)
|
![]() |
Isoleucine
(ile)
|
![]() |
สิ่งมีชีวิตใช้กรดอะมิโนเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์โปรตีน
กรดอะมิโนบางชนิด เช่น ไกลซีน แอสปาราจีน
และกรดกลูตามิก เป็นต้น ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง แต่มีกรดอะมิโนบางชนิดร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ ต้องรับจากภายนอกเข้าไป มีทั้งสิ้น
8 ชนิดรวมเรียกว่า
“กรดอะมิโนจำเป็น” (essential amino acid) เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ ได้แก่ เมไทโอนีน ,ทรีโอนีน
, ไลซีน , เวลีน , ลิวซีน , ไอโซลิวซีน ,เฟนิลอะลานีน และ
ทริปโตเฟน
สำหรับเด็กทารกยังต้องการฮิสติดีนเพิ่มขึ้นอีก 1 ชนิด ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต
2.2 พันธะเปปไทด์ในโปรตีน (Peptide
bond)
พันธะเพปไทด์ หมายถึง พันธะที่ C ใน C = O ต่ออยู่กับ N
ใน N - H
เขียนเป็นสูตรทั่ว
ๆ ไปดังนี้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image066.gif)
C=O มาจากหมู่ - COOH
ในกรดอะมิโนโมเลกุลหนึ่ง
ในขณะที่ N - H มาจากหมู่ - NH2 ของ กรดอะมิโนอีกโมเลกุลหนึ่ง
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image068.gif)
เช่น
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image070.gif)
(-OH จากหมู่ -COOH
รวมกับ -H จากหมู่ -NH2 กลายเป็น H2O
ส่วนที่เหลือรวมกันเป็นสารใหม่ที่มีพันธะเพปไทด์)
พันธะเพปไทด์อาจะเขียนแบบอื่น
ๆ เช่น
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image072.gif)
ก็ได้
แต่ C กับ N ต้องต่อกันด้วยพันธะเดี่ยว
ระหว่าง C กับ N จะมีธาตุอื่นมาคั่นกลางไม่ได้ เช่น
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image074.gif)
การเกิดโปรตีน
โปรตีนเกิดจากการรวมตัวของกรดอะมิโนหลาย
ๆ โมเลกุล อาจจะเป็นกรดอะมิโนชนิดเดียวกันหรือกรดอะมิโนต่างชนิดกันก็ได้
กรดอะมิโนที่มารวมกันนี้จะยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะชนิดใหม่ที่เรียกว่า “พันธะเพปไทด์”
เมื่อกรดอะมิโน 2
โมเลกุลรวมกันจะได้เป็น โมเลกุลไดเพปไทด์ (dipeptide
molecule) ซึ่งเมื่อโมเลกุลไดเพปไทด์รวมกับกรดอะมิโนอีก 1 โมเลกุลจะได้เป็น โมเลกุลไตรเพปไทด์ (tripeptide
molecule) และถ้ารวมกันต่อไปเรื่อย ๆ จะได้โมเลกุล
พอลิเพปไทด์ (polypeptide molecule) ซึ่งถ้ามวลโมเลกุลสูง
ๆ เช่น มากกว่า 5000 จะจัดว่าเป็นโปรตีน
ตัวอย่างเช่น เมื่อไกลซีน และอะลานีน
อย่างละโมเลกุลรวมกันจะได้โมเลกุลไดเพปไทด์
ถ้ารวมไกลซีนอีก 1 โมเลกุลจะได้โมเลกุลไตรเพปไทด์
ถ้ารวมต่อไปอีกหลาย ๆ โมเลกุลจะได้โมเลกุล
พอลิเพปไทด์ และได้โปรตีนในที่สุด
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image076.gif)
เมื่อไกลซีนและอะลานีนซึ่งเป็นกรดอะมิโนรวมกันเป็นโมเลกุลไดเพปไทด์ด้วยพันธะเพปไทด์
จะเห็นได้ว่าในโมเลกุลไดเพปไทด์ยังคงมีหมู่
-COOH และ -NH2 อยู่ จึงสามารถจะรวมกับกรดอะมิโน
โมเลกุลใหม่ต่อไปได้อีกทั้งทางด้าน -COOH และ -NH2 ด้วยพันธะเพปไทด์ กลายเป็นโมเลกุล ไตรเพปไทด์
ซึ่งยังคงมีหมู่ -COOH และ -NH2 อยู่
ดังนั้น จึงสามารถเกิดปฏิกิริยาต่อไปได้เรื่อย ๆ
จนกลายเป็นโมเลกุลพอลิเพปไทด์ และ เป็นโปรตีนในที่สุด
อาจจะแสดงการเกิดโปรตีนจากกรดอะมิโนด้วยแผนภาพดังนี้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image078.jpg)
ถ้านำไกลซีนเพียงชนิดเดียวมารวมกันเป็นโปรตีน
จะได้ดังนี้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image080.gif)
อาจจะกล่าวได้ว่าโปรตีนก็คือ
พอลิเพปไทด์ของกรดอะมิโนนั่นเอง
โมเลกกุลพอลิเพปไทด์ซึ่งเกิดจากกรดอะมิโนหลาย
ๆ โมเลกุลยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเพปไทด์ อาจจะแสดงได้ดังนี้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image082.gif)
โปรตีนแต่ละชนิดจะมีจำนวน ชนิด
และลำดับการจัดเรียงกรดอะมิโนที่แน่นอน
ถ้าชนิดและลำดับการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนแตกต่างกัน
ก็จะกลายเป็นโปรตีนต่างชนิดกัน ซึ่งจะทำให้สมบัติทางกายภาพและทางเคมีบางประการแตกต่างกัน
2.3 สมบัติและปฏิกิริยาบางประการของโปรตีน
1. ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
โปรตีนสามารถเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซีสกับน้ำ โดยสารละลายกรด เบส หรือ
เอมไซม์บางชนิดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
โปรตีนจะถูกไฮดดรไลส์จากโมเลกุลใหญ่ ค่อย ๆ
กลายเป็นโมเลกุลที่มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ และถ้าการเกิดไฮโดรลิซิสเป็นไปอย่างสมบูรณ์ในที่สุดจะได้เป็นกรดอะมิโน
เขียนสมการแสดงการเกิดไฮโดรลิซีสได้ดังนี้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image083.gif)
protein® protose
® peptone ®
polypeptide ®® tripeptide ®dipeptide ® amino
acid
จะเห็นได้ว่ากระบวนการเกิดไฮโดรลิซิสของโปรตีนก็คือ
ปฏิกิริยาย้อนกลับของการเกิดโปรตีนนั่นเอง
โปรตีนแต่ละชนิดเมื่อนำไปไฮโดรไลส์
อาจจะได้กรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ จำนวนมาก
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของโปรตีนนั้น ๆ
และผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการไฮโดรไลส์โปรตีน นอกจากจะเป็นกรดอะมิโนแล้ว อาจจะมีพวกคาร์โบไฮเดรต และ pyrimidine
ปนอยู่จำนวนเล็กน้อย
2. ปฏิกิริยาการทดสอบโปรตีน หรือ Biuret reaction
Biuret reaction
เป็นปฏิกิริยาเฉพาะสำหรับการทดสอบโปรตีน
และผลิภัณฑ์ที่เกิดจากการไฮโดรไลส์โปรตีนที่ยังมีพันธะเพปไทด์อยู่ เช่น protose
, peptone , tripeptide โดยนำมาทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4 ในเบส (NaOH) ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาให้สีต่าง ๆ
กัน ตั้งแต่สีน้ำเงิน หรือม่วงจนถึงสีชมพู
ซึ่งสีเหล่านี้เป็นสีของสารประกอบเชิงซ้อนระหว่างไอออนของทองแดง
กับสารที่มีพันธะเพปไทด์ตั้งแต่ 2 พันธะขึ้นไป เรียกปฏิกิริยาการทดสอบโปรตีนดังกล่าวนี้ว่า Biuret
reaction ถ้าเป็นโปรตีนจะได้สีน้ำเงินปนม่วง
และถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการไฮโดรไลส์โปรตีนจะให้สีต่าง ๆ กัน
ตั้งแต่สีม่วงจนถึงสีชมพู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของโมเลกุล
สำหรับกรดอะมิโนจะไม่เกิดปฏิกิริยานี้
และจะให้ผลทดสอบเป็นไม่มีสีเมื่อทดสอบด้วยวิธีนี้
เนื่องจากกรดอะมิโนไม่มีพันธะเพปไทด์
ดังนั้น Biuret
reaction
จึงเป็นปฏิกิริยาที่ใช้ทดสอบโปรตีนและกรดอะมิโนได้
รวมทั้งสามารถใช้ติดตามขั้นตอนการเกิดไฮโดรไลส์ของโปรตีนได้โดยดูจากการเปลี่ยนแปลงสีของสารละลาย
3. การแปลงสภาพโปรตีน
(denature of protein)
การที่โปรตีนประกอบด้วยกรดอะมิโนจำนวนมากยึดกันด้วยพันธะเพปไทด์
ซึ่งภายในโมเลกุลอาจจะเกิดพันธะไฮโดรเจนซึ่งกันและกัน ทำให้โมเลกุลมีลักษณะเป็นเกลียว เป็นแผ่น
มีการขดม้วนตัวด้วยแรงแวนเดอร์วาลส์
พันธะไฮโดรเจนทำให้เกิดเป็นโครงสร้างสามมิติแบบต่าง ๆ โครงสร้างเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไป
เพราะแรงดังกล่าวถูกทำลาย เช่น เกิดการคายเกลียวของโปรตีน การที่โครงสร้างถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป
เรียกว่า การแปลงสภาพโปรตีน
หลังจากการแปลงสภาพจะทำให้สมบัติทางกายภาพและทางเคมีเปลี่ยนแปลงไป
เช่นเมื่อต้มไข่ ไข่ขาวซึ่งเป็นโปรตีนจะถูกแปลงสภาพ เกิดการแข็งตัว และไม่ละลายน้ำ
ทำให้สูญเสียสภาพทางชีวภาพไป
ปัจจัยต่าง ๆ
ที่ทำให้โปรตีนแปลงสภาพได้แก่ ความร้อน
กรด เบส เอาทานอล อะซิโตน รวมทั้งรังสีเอกซ์
และรังสีอัลตราไวโอเลต เมื่อโปรตีนถูกกับสิ่งเหล่านี้จะแปรสภาพ เช่น
เกิดการตกตะกอน หรือเกิดการจับตัวเป็นก้อน ซึ่งไม่ละลายน้ำ
ไอออนของโลหะหนักบางชนิด
ก็สามารถทำให้โปรตีนในไขขาวหรือนมสดแปลงสภาพได้เช่นเดียวกัน โดยทำให้โปรตีนตกตะกอน
ซึ่งได้นำสมบัติดังกล่าวนี้มาใช้ประโยชน์ในการแก้พิษที่เกิดจากการกินไอออนของโลหะหนัก เช่น Pb As และ Hg โดยให้ผู้ป่วยกินไข่ขาวดิบหรือ
นมสด เพื่อให้รวมกับไอออนของโลหะเกิดเป็นตะกอน แล้วให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมา
2.4 โปรตีนในสัตว์และพืช
โปรตีนเป็นอาหารหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่าง ๆ
ในร่างกาย โปรตีนได้จากพืชและสัตว์ พวกที่มีโปรตีนมากกว่า 10% ได้แก่ ปลา ถั่ว
เนยแข็ง ไข่ นมและเนื้อสัตว์
โดยเฉพาะถั่วเหลือง ปลาและสิ่งมีชีวิตในทะเลจะเป็นแหล่งของโปรตีนที่สำคัญ
เนื่องจากโปรตีนมรกรดอะมิโนต่างชนิดกัน
และมีปริมาณต่างกัน จึงทำให้มีคุณภาพทางโภชนาการต่างกัน องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้กำหนดมาตรฐานของกรดอะมิโนจำเป็นในอาหารไว้ดังนี้
ตารางที่ 1.5 ปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นตามมาตรฐานของ FAO
ในอาหารบางชนิด
กรดอะมิโนจำเป็น
|
ปริมาณโปรตีน
|
ปริมาณกรดอะมิโนในอาหาร(g/100 g ของโปรตีน)
|
||||||
ชื่อ
|
ปริมาณที่ร่างกายต้องการ
(กรัม/วัน)
|
ตามมาตรฐาน FAO (g/100 g ของโปรตีน)
|
ไข่ไก่
|
นมวัว
|
เนื้อ
|
ถั่วเหลือง
|
ข้าวโพด
|
ข้าวสาร
|
ไอโซลิวซีน
|
0.7
|
4.0
|
6.2
|
6.2
|
4.8
|
4.5
|
3.7
|
4.2
|
ลิวซีน
|
1.10
|
7.0
|
8.8
|
12.5
|
8.1
|
7.8
|
12.5
|
8.2
|
ไลซีน
|
0.80
|
5.5
|
7.0
|
7.2
|
8.9
|
6.4
|
2.7
|
3.6
|
เมไทโอนีน
|
1.10
|
3.5
|
5.8
|
3.4
|
4.0
|
2.6
|
3.5
|
3.7
|
เฟนิลอะลานีน
|
1.10
|
6.0
|
9.9
|
13.1
|
8.0
|
8.1
|
8.7
|
8.0
|
ไทโอนีน
|
0.50
|
4.0
|
5.1
|
4.4
|
4.6
|
3.9
|
3.6
|
3.3
|
ทริปโตเฟน
|
0.25
|
1.0
|
1.5
|
1.4
|
1.1
|
1.3
|
0.7
|
1.3
|
เวลีน
|
0.80
|
5.0
|
6.8
|
7.4
|
5.0
|
4.8
|
4.8
|
5.8
|
อาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็นใกล้เคียงหรือมากกว่าค่ามาตรฐานของ
FAO จัดว่าเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง อาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ต่ำกว่ามาตรฐานหรือขาดกรดอะมิโนจำเป็นเพียงชนิดเดียวก็จัดว่าเป็นโปรตีนคุณภาพต่ำ
เนื่องจากเมื่อรับประทานโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำเข้าไป เอนไซม์บางชนิดจะแยกสลายโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโน เพื่อให้ดูดซึมเข้าไปในเซลล์ได้
และนำไปใช้สังเคราะห์โปรตีน การขาดกรดอะมิโนจำเป็นบางอย่างจะทำให้การสังเคราะห์โปรตีนทำได้น้อยลง
ประเภทของโปรตีน
การที่โปรตีนเกิดจากกรดอะมิโนเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเพปไทด์จำนวนมาก
กรดอะมิโนเหล่านี้ต่อกันในลักษณะต่าง ๆ ทำให้เกิดโครงสร้างสามมิติ
จึงอาจแบ่งโปรตีนออกเป็น 2 ลักษณะคือโปรตีนเส้นใย และโปรตีนก้อนกลม เช่น
เคราตินเป็นโปรตีนที่พบในขนสัตว์ เขาสัตว์ เส้นผม และเล็บ เป็นโปรตีนเส้นใย คอลลาเจน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบในเนื้อเยื่อของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังก็เป็นโปรตีนเส้นใย ส่วนเอมไซม์
แอนติบอดี ฮอร์โมน และฮีโมโกลบิน
เป็นโปรตีนก้อนกลม
ความสำคัญของโปรตีนต่อร่างกาย
โปรตีนเป็นอาหารที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกายเช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
โปรตีนที่รู้จักกันดี ได้แก่ อัลบูมิน (albumin) และ เจลลาติน (gelatin) เมื่อร่างกายได้รับโปรตีนเข้าไปจะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรไลซิส
โดยมีเอมไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ได้เป็นกรดอะมิโนซึ่งเป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุด
และเป็นส่วนประกอบที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้
โปรตีนเป็นแหล่งพลังงานและช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโต
ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ยังพบว่าโปรตีนยังมีหน้าที่สำคัญอื่นอีก
โดยขึ้นอยู่กับชนิดของโปรตีน เช่น ไมโอซิน (myosin) เป็นส่วนของกล้ามเนื้อ คอลลาเจน (collagen)
เป็นส่วนของเอ็นซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหว เปปซิน (pepsin) เป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเกิดไฮโดรลิซิสของโปรตีน
ฮีโมโกลบิน (haemoglobin) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่นำออกซิเจน
จากปอดผ่านเส้นโลหิตไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โกลบูลิน (globulin) อยู่ในโลหิตทำหน้าที่เป็นแอนติบอดี (antibody) นอกจากนี้โปรตีนยังเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง
ผม และเล็บ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
3. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate)
คาร์โบไฮเดรต
เป็นสารอาหารอีกประเภทหนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นสารเก็บสะสมพลังงานในรูปของเซลลูโลส
และไกลโคเจน และทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์ต่าง ๆ เช่น
เป็นเซลล์เนื้อเยื่อในน้ำไขข้อของสัตว์และเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ เป็นต้น
คาร์โบไฮเดรต
เป็นสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในพืชและสัตว์ทั่วไปเป็นสารประกอบที่มีธาตุ C, H และ O สูตรทั่วไปของคาร์โบไฮเดรตอาจจะเขียนได้ 2
แบบ คือ
(CH2O)n และ Cx(H2O)y
เมื่อ n , x ,y เป็นเลขจำนวนเต็ม
เช่น C6H12O6 =
(CH2O)6 เมื่อ
n = 6
C6H10O5 =
C6(H2O)5 เมื่อ
x = 6
, y = 5
C12H22O11 =
C6(H2O)5 เมื่อ
x = 12
, y = 11
ข้อน่าสังเกตเกี่ยวกับสูตรโมเลกุลของคาร์โบไฮเดรตคือ
อัตราส่วนอะตอมของ H : O = 2 : 1 ดังเช่นในกรณีของ C6H12O6 , C6H10O5 และ C12H22O11
แต่อย่างไรก็ตามคาร์โบไฮเดรตบางชนิดอาจจะมีสูตรโมเลกุลที่แตกต่างไปจากนี้ได้ และมีอัตราส่วนของ H : O ไม่เท่ากับ 2 : 1
เช่น C6H12O5
(rhamnose) เป็นต้น และ มีสารบางชนิดที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต แต่มีสูตรโมเลกุลแบบเดียวกับคาร์โบไฮเดรต เช่น C2H4O2 = (CH2O)2 เป็นกรดอินทรีย์ คือ กรดอะซิติก
ซึ่งไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต
โดยทั่วไปในโมเลกุลของคาร์โบไฮเดรตจะมีหมู่ -OH
ตั้งแต่ 3 หมู่ขึ้นไป เช่น
กลูโคสซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งซึ่งมีสูตรโครงสร้างแบบโซ่เปิดดังนี้ (สูตรโครงสร้างของน้ำตาลซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตอาจจะเขียนได้เป็นแบบโซ่เปิดหรือแบบวง
ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนในระดับสูงต่อไป)
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image085.gif)
กลูโคส (C6H12O6)
คาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็นแป้งและน้ำตาล โดยที่น้ำตาล
เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดเล็กมีโครงสร้างง่าย
และเวลาเรียกชื่อมักจะลงท้ายด้วย -ose ในขณะที่แป้งเป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ มวลโมเลกุลสูง
มักจะเกิดจากน้ำตาลหลาย ๆ โมเลกุลมารวมกัน
อาจจะกล่าวได้ว่าแป้งเป็นพอลิเมอร์ของน้ำตาล (น้ำตาลเป็นมอนอเมอร์)
n (น้ำตาล)
แป้ง
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image087.gif)
เช่น
n(C6H12O6)
(C6H10O5)n + nH2O
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image089.gif)
น้ำตาลซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็กละลายน้ำได้ แต่แป้งซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่จะไม่ละลายน้ำ
3.1 มอนอแซกคาไรด์ ไดแซกคาไรด์
และพอลิแซกคาไรด์
นอกจากจะแบ่งคาร์โบไฮเดรตเป็นแป้งและน้ำตาลแล้ว อาจจะแบ่งคาร์โบไฮเดรตโดยอาศัยการเกิดไฮโดรลิซิสเป็นมอนอแซกคาไรด์ ไดแซกคาไรด์
และพอลิแซกคาไรด์
ก. มอนอแซกคาไรด์ (Monosaccharide) หมายถึง
น้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตที่โมเลกุลมีขนาดเล็ก และไม่สามารถจะไฮโดรไลส์ได้อีก อาจจะเขียนสูตรทั่วไปเป็น (CH2O)n หรือ CnH2nOn โดยที่ n
มีค่าตั้งแต่ 3 ขึ้นไป ส่วนใหญ่โมโนแซกคาไรด์จะมี C
5 และ 6
อะตอม
|
พวกมอนอแซกคาไรด์จะมีหมู่ฟังก์ชั่นเป็น - C - H (หมู่คาร์บอกซาลดีไฮด์) และหมู่ -OH
(ไฮดรอกซิล) เนื่องจากมีหมู่ -OH จำนวนมากจึงละลายน้ำได้ดี
มอนอแซกคาไรด์เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของคาร์โบไฮเดรต ตัวอย่างได้แก่ กลูโคส
ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ
และเป็นแหล่งพลังงานหลักของสิ่งมีชีวิต
ฟรุกโตส กาแลกโตส และแมนโนส ก็เป็นมอนอแซกคาไลด์
เช่นเดียวกัน มีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แต่สูตรโครงสร้างต่างกัน
ตารางที่ 1.6 สูตรโครงสร้างของมอนอแซกคาไรด์ที่พบโดยทั่วไป
ชื่อ
|
สูตรโมเลกุล
|
สูตรโครงสร้าง
|
แหล่งที่พบและความสำคัญทั่วไป
|
ไรโบส (ribose)
|
C5H10O5
|
![]() |
เป็นส่วนประกอบของกรดนิวคลีอิก หรือในโคเอนไซม์ NAD+ และ NADP+
|
กลูโคส (glucose)
|
C6H12O6
|
![]() |
มีในพืช เช่น องุ่น น้ำผึ้ง อ้อย รวมทั้งเป็นส่วนประกอบของพอลิแซกคาไรด์
|
ฟรุกโตส (fructose)
|
C6H12O6
|
![]() |
มีในผลไม้
น้ำผึ่ง จัดว่าเป็นน้ำตาลที่มีความหวานมากกว่ากลูโคส
|
กาแลกโตส
(galactose)
|
C6H12O6
|
![]() |
เป็นส่วนประกอบของน้ำตาลในน้ำนม
พบในไกลโคไลปิดของเนื้อเยื่อประสาท พบในเลือด
กระดูกอ่อน และพังพืด
|
แมนโนส
(mannose)
|
C6H12O6
|
![]() |
ได้จากการสลายยางไม้
เป็นส่วนประกอบของพอลิแซกคาไรด์ในพืช
ในคนจะรวมอยู่กับโปรตีน
|
กลูโคส
เป็นมอนอแซกคาไรด์ที่สังเคราะห์ขึ้นได้ในพืชที่มีคลอโรฟิลล์ โดยใช้
CO2
จากอากาศและ น้ำในพืชกับพลังงานจากแสงอาทิตย์โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
ดังนี้
|
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image103.gif)
กลูโคสเป็นน้ำตาลที่พบได้ทั่วไป มีรสหวานและละลายน้ำได้ดีมาก มีในผลไม้ต่าง ๆ
สำหรับในร่างกายคน พบอยู่ในเลือด คนปกติจะมีกลูโคส 100
มิลลิกรัม / 100 ลูกบาศก์เซนติเมตรของเลือด
ในกรณีที่เป็นเบาหวานจะมีกลูโคสสะสมอยู่ในเลือดสูง ถ้ามากกว่า 160 มิลลิกรัม /
100 ลูกบาศก์เซนติเมตรของเลือดขึ้นไป ร่างกายจะขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ
ข. พอลิแซกคาไรด์ หมายถึง
คาร์โบไฮเดรตที่สามารถถูกไฮโดรไลส์ได้ เกิดจากมอนอแซกคาไรด์ตั้งแต่ 2
โมเลกุลมารวมกัน เมื่อนำพอลิแซกคาไรด์ไปไฮโดรไลส์จึงได้เป็นมอนอแซกคาไรด์
เรียกชื่อตามจำนวนมอนอแซกคาไรด์ที่มารวมกันเช่น ไดแซกคาไรด์ (disaccharide) ไตรแซกคาไรด์ (trisaccharide)
เตตระแซกคาไรด์ (tetrasaccharide) ซึ่งเกิดจากมอนอแซกคาไรด์ 2
, 3 และ 4 โมเลกุลตามลำดับ
ถ้าโมเลกุลใหญ่กว่านี้จะเรียกรวมว่าพอลิแซกคาไรด์
ไดแซกคาไรด์
เกิดจากมอนอแซกคาไรด์ 2
โมเลกุลมารวมกัน (โดยสูญเสียน้ำ 1
โมเลกุล) มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามชนิดของมอนอแซกคาไรด์
ไดแซกคาไรด์
เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ละลายน้ำได้ เช่น ซูโครส หรือน้ำตาลทราย (C12H22O11) เป็นแซกคาไรด์ที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลูโคส และฟรุกโตส
กลูโคส +
ฟรุกโตส ® ซูโครส
+ น้ำ
C6H12O6 + C6H12O6 ®
C12H22O11 + H2O
เมื่อไฮโดรไลส์ซูโครสในกรด HCl
จึงได้กลับมาเป็นกลูโคสและ ฟรุกโตส
ซูโครส +
น้ำ
กลูโคส + ฟรุกโตส
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image105.gif)
C12H22O11 + H2O ® C6H12O6 + C6H12O6
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image107.jpg)
รูปที่ 1.4 สูตรโครงสร้างของซูโครส กลูโคส และฟรุกโตส
ตารางที่ 1.7
สูตรโครงสร้างของไดแซกคาไรด์บางชนิด
ชื่อ
|
สูตรโครงสร้าง
|
เตรียมจาก
|
หมายเหตุ
|
ซูโครส
sucrose
|
![]() |
กลูโคส +ฟรุกโตส
|
พบในน้ำตาลอ้อย น้ำตาลหัวบีท
ความหวานของซูโครสเกิดจากฟรุกโตส
|
มอลโตส
moltose
|
![]() |
กลูโคส + กลูโคส
|
เป็นน้ำตาลที่ได้จากการไฮโดรไลส์แป้ง
พบในต้นถั่ว และต้นข้าวมอลต์ ที่กำลังเจิรญเติบโต
|
แลกโตส
lactose
|
![]() |
กาแลกโตส+กลูโคส
|
เป็นน้ำตาลในน้ำนมถ้าหมักแลกโตสกับ lactobacillusจะได้กรดแลกติกและแอลกอฮอล์ซึ่งใช้ทำเนยแข็ง
|
พอลิแซกคาไรด์
เป็นพวกคาร์โบไฮเดรตที่โมเลกุลขนาดใหญ่ ได้แก่
แป้ง ไกลโคเจน เซลลูโลส
ซึ่งไม่ละลายน้ำ โมเลกุลของแป้งเกิดจากกลูโคสหลาย ๆ โมเลกุลรวมกัน โดยการสูญเสียน้ำออกไป
ถ้ากลูโคส n
โมเลกุลรวมกันเป็นแป้ง
1 โมเลกุล จะเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาได้ดังนี้
nC6H12O6 ®
(C6H12O6)n + nH2O
กลูโคส แป้ง
ในทางตรงกันข้ามเมื่อนำแป้งมาไฮโดรไลส์โดยใช้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา โมเลกุลของแป้งจะค่อย ๆ มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ
ถ้าปฏิกิริยาเกิดอย่างสมบูรณ์จะได้เป็นกลูโคส
แป้ง +
H2O
กลูโคส
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image105.gif)
พอลิแซกคาไรด์
….. ®ไตรแซกคาไรด์
®ไดแซกคาไรด์®มอนอแซกคาไรด์
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image105.gif)
(กลูโคส)
· แป้งเป็นพอลิเมอร์ของ
-glucose พบในเมล็ด หัว
ผลและใบของต้นไม้ เป็นแหล่งสะสมอาหารที่สำคัญต้นไม้ และร่างกายคนสามารถย่อยแป้งได้
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image022.gif)
· เซลลูโลส เป็นพลิเมอร์ของ
-glucose เป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์ของต้นไม้และในเนื้อไม้ ร่างกายของคนไม่สามารถย่อยเซลลูโลสได้ เซลลูโลส ใช้เตรียม rayon , celluloid , และ cellophane สำลีก็เป็นเซลลูโลสชนิดหนึ่ง
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image115.gif)
· ไกลโคเจน เป็นพอลิแซกคาไรด์อีกชนิดหนึ่ง เกิดจากกลูโคสเช่นเดียวกัน พบในเนื้อเยื่อของสัตว์ ในตับและกล้ามเนื้อของสัตว์
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image117.jpg)
รูปที่ 1.5 สูตรโครงสร้างของพอลิแซกคาไรด์ (a) แป้ง (b)
เซลลูโลส
ปฏิกิริยาที่สำคัญของคาร์โบไฮเดรต
1.
ปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ เป็นปฏิกิริยาออกซิเดชัน ใช้ทดสอบน้ำตาลและสารอินทรีย์ที่มีหมู่ -CHO
เช่น แอลดีไฮด์ โดยสารที่มีหมู่ -CHO
เหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ได้ ได้ตะกอนสีแดงอิฐของคอปเปอร์ (I) ออกไซด์ (Cu2O)
สารอินทรีย์ที่มีหมู่ฟังก์ชัน -CHO
เช่นน้ำตาลมอนอแซกคาไรด์และแอลดีไฮด์ จะมีสมบัติเป็นตัวรีดิวซ์ที่ดี จึงสามารถทำปฏิกิริยากับตัวออกซิไดส์ เช่นสารละลายเบเนดิกต์ได้ ดังนั้น ถ้าต้องการทดสอบว่าน้ำตาลชนิดใดมีหมู่-CHOอยู่หรือไม่ ให้นำมาทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์
พวกน้ำตาลมอนอแซกคาไรด์ เช่น
กลูโคส กาแลกโตส มีหมู่
-CHO จึงทดสอบกับสารละลายเบเนดิกต์ได้ตะกอน Cu2O พวกแป้ง น้ำตาลทราบ
สำลี
หรือพวกพอลิแซกคาร์ไรด์ซึ่งไม่มีหมู่ -CHO จะไม่เกิดปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์
สารละลายเบเนดิกต์ เตรียมได้ดังนี้
ก. เตรียมสารละลาย A
โดยใช้เกลือโซเดียมซิเตรต
173 กรัม
ผสมกับ anhydrous Na2CO3 100 กรัม
ละลายในน้ำและทำให้มีปริมาตรเป็น 850
cm3
ข. เตรียมสารละลาย B
โดยใช้ CuSO4
.5H2O 17.3 กรัม
ละลายในน้ำแล้วทำให้มีปริมาตร 150
cm3
ค.ผสมสารละลายA,Bเข้าด้วยกันจะได้สารละลายสีน้ำเงินอ่อน
เรียกว่าสารละลายเบเนดิกต์
นอกจากจะทดสอบน้ำตาลด้วยสารละลายเบเนดิกต์แล้ว
ยังสามารถใช้สารละลายอื่น ๆ ทดสอบได้ เช่น Toll
‘ s reagent , Barfoed test ,
Fehling ‘s solution
สำหรับสารละลายเบเนดิกต์
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ทดสอบหาน้ำตาลในปัสสาวะ
ซึ่งเป็นการตรวจสอบโรคเบาหวานได้
เนื่องจากเมื่อเป็นโรคเบาหวานร่างกายจะขับกลูโคสออกมาทางปัสสาวะ
2.
ปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน สารละลายไอโอดีนสามารถใช้ทดสอบแป้งได้ โดยรวมกับแป้งให้ตะกอนสีน้ำเงิน แต่พวกน้ำตาลทั้งมอนอแซกคาไรด์และไดแซกคาไรด์
จะไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน
ดังนั้นปฏิกิริยานี้จึงเป็นปฏิกิริยาที่ใช้ทดสอบแป้งโดยเฉพาะ
3. ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส เกิดขึ้นกับพวกไดแซกคาไรด์ ไตรแซกคาไรด์
จนถึง พอลิแซกคาไรด์
แต่ไม่เกิดกับพวกมอนอแซกคาไรด์
ส่วนใหญ่จะใช้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
โดยนำคาร์โบ
ไฮเดรตมาต้มกับกรดเจือจาง
ถ้าเกิดปฏิกิริยาสมบูรณ์จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นมอนอแซกคาไรด์ เช่น
แลกโตส +
น้ำ
กลูโคส
+ กาแลกโตส
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image119.gif)
มอลโตส +
น้ำ
กลูโคส
+กลูโคส
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image119.gif)
รัฟฟิโนส
+ น้ำ
กลูโคส
+ ฟรุกโตส + กาแลกโตส
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image119.gif)
(รัฟฟิโนส เป็น ไตรแซกคาไรด์ ชนิดหนึ่ง)
เมื่อนำแป้งมาไฮโดรลิซิสในสารละลายกรด HCl
เจือจาง
โมเลกุลของแป้งจะถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดจะได้เป็นกลูโคส
(C6H10O5)n
(C6H10O5) ®®……
C12H22O11 ® C6H12O6
![](file:///C:/Users/ADMINI%7E1/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image119.gif)
แป้ง dextrin maltose
glucose
ในการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล นอกจากจะอาศัยปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส
ใช้กรดเจือจางเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาแล้ว
ยังสามารถใช้เอนไซม์บางชนิดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาได้ เช่น
เอนไซม์ที่มีอยู่ในน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลได้
น้ำตาลทราย แป้ง และสำลี
ต่างก็เป็นคาร์โบไฮเดรตเหมือนกัน
แต่มีสมบัติบางประการแตกต่างกัน
เพราะสารดังกล่าวมีโครงสร้างต่างกัน
เมื่อนำน้ำตาลทราย แป้ง และสำลี
มาทำปฏิกิริยากับสารละลายไอโอดีน หรือ I2 ใน KI จะพบว่า เฉพาะแป้งเท่านั้นที่ทำปฏิกิริยากับ ไอโอดีน
แล้วได้ตะกอนสีน้ำเงิน ทั้งนี้เพราะ
ไอโอดีนใช้ทดสอบแป้งเท่านั้น
เมื่อนำน้ำตาลทราย แป้งและสำลีมาต้มกับสารละลายเบเนดิกต์
จะได้ผลที่แตกต่างกับการต้มกลูโคส กับสารละลายเบเนดิกต์ คือ ไม่เกิดตะกอนสีแดงอิฐของ Cu2O กรณีของน้ำตาลทรายสารละลายจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
มีตะกอนสีแดงอิฐปนอยู่ซึ่งเมื่อปล่อยให้เย็นลงจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเขียว
ส่วนแป้งและสำลีจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
เมื่อนำน้ำตาลทราย แป้ง
และ สำลี มาต้มกับ กรด HCl เจือจางแล้วทำให้เป็นกลาง หลังจากนั้นจึงนำสารละลายมาทดสอบกับสารละลาย I2
จะพบว่าแป้งที่ต้มกับกรดจะไม่ทำปฏิกิริยากับไอโอดีน
ไม่เกิดตะกอนสีน้ำเงิน
และเมื่อทดสอบด้วยสารละลายเบเนดิกต์จะพบว่าทั้งน้ำตาลทราย แป้ง
และสำลี
ที่ต้มกับกรดแล้วทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ ได้ตะกอนสีแดงอิฐของ Cu2O เหมือนกับกรณีกลูโคส การที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากน้ำตาลทราย แป้ง
และสำลีเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสในสารละลายกรดกลายเป็นน้ำตาลประเภทมอนอแซกคาไรด์ ดังนั้นจึงไม่ทำปฏิกิริยากับไอโอดีน แต่สามารถทำปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ได้
***************************************************************************
|